วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2555

วัดเเจ้ง หรือ วัดอรุณ


ถ้ากล่าวถึงชื่อวัดเเจ้ง หรือวัดวัดอรุณราชวราราม
คงจะไม่มีใครที่จะไม่รู้จักว่าเป็นวัดที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากของประเทศไทยสร้างใน สมัยอยุธยาว่ากันว่าเดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอกในเวลาต่อมา เพราะได้มีการสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่งในตำบลเดียวกัน แต่อยู่ในคลองบางกอกใหญ่ ชาวบ้านเรียกวัดที่สร้างใหม่ว่า วัดมะกอกใน(วัดนวลนรดิศ)แล้วจึงเรียกวัดมะกอกซึ่งอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่ว่า วัดมะกอกนอก ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรีใน พ.ศ. 2310ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง แต่ความเชื่อนี้ไม่ถูกต้อง เพราะเพลงยาวหม่อมภิมเสน วรรณกรรมสมัยอยุธยาที่บรรยายการเดินทางจากอยุธยาไปยังเพชรบุรี ได้ระบุชื่อวัดนี้ไว้ว่าชื่อวัดแจ้งตั้งแต่เวลานั้นแล้วขึ้นมาเเม้กระทั้งชาวต่างชาติก็ยังต้องมาเที่ยวชม ถ่ายภาพวัดนี้กันทั้งนั้น





นับเป็นวันที่ทั้งเป็นประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของคนไทย เเละเป็นที่สักการะกรนาบไหว้ขอพรกันอย่างถ้วนหน้า ในครั้งนี้ได้มีโอกาศได้เป็นทำบุญที่วัดเเห่งนี้ได้เยี่ยมชมวัดเก่าเเก่ไหว้พระ ทำบุญ ถ่ายภาพ ซึ่งภาพที่มาเเล้วต้องถ่ายก็คือ เจดีย์ดังภาพนอกจากนั้นเเล้วก็คงจะเป็นยักษ์สองตนที่เฝ้าประตูทางเข้า





นอกจากนั้นบริเวณด้านหน้าที่ตัดกับเเม่น้ำเจ้าพระยาเป็นนที่ที่สามารถนั่งเรื่อสัญจรไปมาได้เเละยังสามารถที่จะให้อาหารปลาที่มาเเหวกไหวอยู่บริเวณโป๊ะเรื่อได้ด้วยซึ่งขนาดตัวใหญ่พอสมควรเชียวล่ะ


ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจากวิกิพิเดียครับ

@wangdummountaincamp

                 


                   ครั้งเเรกกับการเดินทางไปเข้าค่ายในชีวิตการเป็นนักศึกาามหาวิทยาลัยในจังหวัดกาญนะจ๊ะบุรี เอ้ย! กาญจนบุรี ฮ่า ๆ ค่ายครั้งนี้จัดขึ้นที่วังดุมรีสอร์ท หรือที่เรียกกันว่า wangdummountaincamp การเดินทางที่เเสนลำบากมากในช่วงของการนั่งรถเข้าไปในป่าค่อนข้างจะลึกพอสมควร บวกกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างจะร้อนมาก ๆ เเต่พอถึงเเล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเพราะบรรยากาศที่เเสนจะสวยงาม มีที่พักที่สะดวกสบายสะอาดภูเขาล้อมรอบ ป่าไม้เขียวขจี 



ไม่ทันได้ทำอะไรเพียงเเค่เก็บข้าวของ ก็ได้เวลาสำคัญคือการรับประทานอาหารกลางวันนั่นเอง ที่นี้เค้ามีบริการโดย มีเเม่ครัวมาทำอาหารให้รับประทานทุกมือเลยทีเดียวสำคัญที่สุดคือ กินไม่อิ่มเติมได้คล้ายกับ บุฟเฟ่เลยล่ะ เข้าค่ายครั้งนี้ต้องอยู่เป้นเวลา สองคืน กับอีกสามวัน 



เป็นค่ายที่สนุกสนานมากรับทั้งความรู้เเละความบันเทิงจากการฟัง บรรยายสั้น ๆ จากผู้ที่มีประสบการณ์ เเละความสนุกสนานจากบรรดารู่นพี่ที่เข้ามาให้ความบันเทิง เเละได้เก็บภาพยามเช้าของ wangdummountaincamp มาฝากด้วยครับ พอดีตื่นเร็ว อิอิ







สะกดคำว่า กาลเทศะ

             

  วันนี้เป็นอีกวันที่มีเรื่องราวมานำเสนอทุก ๆ คนที่เข้ามาอ่านครับ คือ
 ไม่ทราบว่าการกระทำ ความประพฤติของวัยรุ่นปัจจุบันนี้ ไม่ได้คำนึงถึงกาละเทศ
 ไม่เคารพสถานที่ ไม่ให้เกีรติผุ้คนที่เดินผ่านไปมาพูด ๆ ง่ายว่า ไม่ได้เเคร์สายตาประชาชนเลย
                 วันนี้ได้นั่งอยุ่บริเวณใต้ตึกของคณะที่มหาวิทยลัยคุยกับเพื่อนทั้งเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่ง เวลาประมาณบ่ายสามโมงเห็นจะได้ ก้มีกลุ่มนักศึกษาไม่รุ้ว่า เอกอะไร สาขาไหน
มานั่งอยู่ข้าง ๆ พูดจาโหวกเหวกโวยวายเสียงดังเกินจะบรรยายไม่เกรงใจคนรอบข้าง ผ่านไปก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมายเวลาผ่านไปไม่นานสายตาก็ไปสะดุดกับภาพที่ไม่น่าจะได้พบเห็น ในบริเวณที่มีคนเดินอยู่พลุกพล่าน ไม่คิดว่าหนุ่มสาวคู่นี้จะกล้าเเสดงความรักท่ามกลางสายตาประชาคมขนาดนี้ภาพที่เห็นคือ
ผู้หญิงนั่งตักผู้ชายมือคล้องคอ หยอกล้อเล่นกันท่ามกลางหมู่เพื่อนที่ทั้งนั่งเเละยืนมุงอยู่รอบข้าง
อันที่จริงภาพเเบบนี้ไม่ควรที่จะเกิดในสถาบันการศึกษาเลยที่สำคัญไปกว่านั้นคือยังเเต่งกายชุดนักศึกษาอยู่ไม่ควรประพฤติตนเช่นนั้น หากแต่อยู่นอกมหาวิทยาลัยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งการกระทำนี้นอกจากจะเป็นที่จับตามองของคนทั่วไปแล้วอาจจะถูกตำหนิดูถูกจากคนที่ผ่านมาพบเห้นก็เป็นได้
                 การที่กระทำสิ่งใดควรที่จะดูเรื่องของกาลเทศะเป็นสำคัญ เเละควรจะคำนึงถึงสายตาคนรอบข้างว่าจะถูกมองในเเง่มุมไหน เพราะอาจจะเป็นที่ดูถูกถึงการอบรมเลี้ยงดูได้

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เเวะกินนม!

               

  ช่วงเวลาสั้น ๆ หลังเลิกเรียนกับการเจียดเวลาอันน้อยนิดอีกครั้งในการเที่ยวแบบจุดมุ่งหมายเดียว  ครั้งนี้จุดหมายมุ่งไปที่ มนต์ นมสด ร้านนมยอดฮิตที่เป็นที่รู้จักในหลายวงการ ทั้งนักร้อง นักแสดง นักข่าว รวมถึง กลุ่มวัยรุ่นนักศึกษาที่ต้องเดินทางมาชิมกันให้ได้ ร้านนี้เขามีการจัดเเต่ร้านได้สวยงสมสลาบตาบรรยากาศดี บริการพร้อมพนักงานค่อนข้างเยอะรวดเร็วทันใจบวกกับรสชาติที่อร่อยมีหลากรสให้เลือกชิม



                 การไปครั้งนี้เป็นการเิิดินทางที่สนุกสุดเหวี่ยงเนื่องจากมีปัญหากับการเรียกพี่แทก(แทกซี่) จึงหันเป้าหมายยานพาหนะเป็นตุ๊ก ๆ แทน รวดเร็วทันใจพร้อมกับลมพัดเย็นสบาย เเละเกร็งตลอดการเดินทางประมาณ 5 นาทีในเวลา 5 โมงเย็นพอดีเป๊ะ  ลงจากรถด้วยความทุลักทุเล ไม่รอช้าจัดหนัก ออร์เดอร์นมคนละเเก้ว ขนมปังคนแผ่นคลละรส



                 บริการเร็วเกินคาดเห็นคนนั่งเยอะมาก เเต่กลับได้เร็วมากเช่นกัน เเต่ก่อนที่จะลงมือรัปประทาน ทุกคนต้องขว้ามือถือ ขึ้นมาแชะ! ไปพอสมควรเพื่อเป็นหลักฐาน ๕๕๕+



                 นั่งกินกันเพลิน พร้อมกับการนำเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดภายในวันนั้นเเละวันก่อน ๆ มารำลึก บรรยากศดี เวลาเหมาะ สนุกสนานเฮฮากันมาก จนลืมเวลาล่วงเลยไปถึง 1 ทุ่ม ก็ออกจากร้านเดินไปที่สนามหลวงทามกลางลมเย็น ๆ ยามค่ำคืนที่เเสนจะสบาย จากนั้นก็บอกลาเเยกย้ายกลับหอ มาทำงานกันต่อ ทริปด่วนตรั้งนี้ก็ได้บรรยากศไปอีกแบบหนึ่ง


วันพฤหัสบดีที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เกาหลีไม่ดีทุกอย่าง 'Block B'


               
เรื่องนี้ขอหยิบยกประเด็นเรื่องราวของศิลปินจากเกาหลีที่เป็นข่าว โด่งดัง (หรือเปล่า) จากการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนในประเทศไทยไปได้ไม่นาน เหตุเกิดจากการที่ นักร้องกลุ่มนี้ได้แสดงกิริยาที่ถือว่าไม่เหมาะสมในระหว่างให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเช่น ยกเท่าขึ้นมาตบเเทนมือ ทักทายเเนะนำตัวด้วยการยกเท้าชี้มาข้างหน้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเเละเนื่องด้วยประเทศไทยเรามีวัฒนธรรมที่ค่อนข้างชัดเจนและถือว่า เท้าเป็นสิ่งที่ต่ำสุดไมาควรยกขึ้นมาในระหว่าสนทนา
ดูได้จากคลิปนี้เลยครับ
 จากเหุการณ์นี้ก็คงต้องกลับมาคิดดูว่าเขาทำไปด้วยอารมณ์ไหน ทำไมถึงทำ เเละอยากจะฝากถึงสกวกเกาหลีของประเทศไทยที่ชื่นชอบนักร้องเกาหลี ว่าต้องดูหรือเลียนเเบบเอาเฉพาะการกระทำที่ดีงาน ความสามารถ เเละสติปัญญาด้วยเพราะเหตุการณ์นี้ก็เเสดงให้เห้นเเล้วในทางดี่ดีงามก็ยังมีตัวอย่างที่เป็นบ่อเกิดของความเสื่อมเสียไปพร้อมกัน

ล่าสุด 'Block B' ได้ออกมาขอโทษอย่างเป็นทางการ ผ่านทางเว็บไซต์ยูทูบ จากกรณีที่แสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสม ระหว่างการให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนไทย ตลอดจนรวมถึงกรณีที่เขา พูดถึงสถานการณ์น้ำท่วมของไทย โดยไม่ได้ทันยั้งคิดต่อจิตใจชาวไทย


ขอบคุณคลิปจากyoutube.com

ความเชื่อ เพื่อนบ้าน












              มหาวิทยาลัยคู่ขวัญของสวนสุนันทาครับ คือ  "มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต" ซึ่งเก่าแก่ไม่แพ้กัน มีเรื่องเล่าว่า ตึกเรียนรวม อาคาร 11 ซึ่งนักศึกษาแทบทุกคนจะต้องมีโอกาสได้แวะเวียนไปเรียน ที่นั่น มีเรื่องเล่าจากศิษย์เก่าให้ฟังว่า ตึกนี้ขณะ ที่ก่อสร้าง มีคนงานตกลงมาเสียชีวิตระหว่างนั่งอยู่ที่ระเบียง ทำให้การก่อสร้างหยุดชะงัก ถึงขั้นต้องจ้างบริษัทก่อสร้างใหม่เข้ามาทำงานต่อ แต่เมื่อทำถึงชั้น 5 ต้องเปลี่ยนบริษัทกันใหม่อยู่หลายบริษัทจึงจะสร้างเสร็จ

                "ดังนั้น จะพบว่า ตั้งแต่บันไดชั้น 5 ขึ้นไป ความกว้างของขั้นบันไดจะแคบลงเรื่อยๆ ทางขึ้นจะชันมาก"

               หรือที่ตั้งของสำนักโพลชื่อดัง "สวนดุสิตโพล" ซึ่งเป็นเรือนไม้ชั้นเดียว สีเขียวอ่อน แต่หากสังเกตดีๆ ที่ด้านข้างใกล้ฟุตปาธ จะมีลูกกรงเหล็กอยู่ มีเรื่องเล่าลือต่อๆ กันมาว่า อาคารนี้เคยใช้เป็นคุกเก่าสำหรับขังนัก โทษ และว่ากันว่าหากใครคิดหรือทำอะไรผิด มาเดินผ่านแถวนี้จะเห็นหรือได้ยินเสียงแปลกๆ แถวนี้

                เช่นเดียวกันที่อาคาร 1 ตึกศิลปกรรม ซึ่งเป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ขวางประตูทางเข้า ประตู 1 ซึ่งอดีตเป็นหอสำหรับเล่นดนตรี ไทยของชาววัง เล่าต่อกันว่ากลางค่ำกลางคืนใครเดินผ่านไปมามักจะได้ยินเสียงดนตรีไทยลอยมา

                  และที่บ่อน้ำหน้าโฮมเบเกอรี่ ซึ่งขนานกับตึก 1 ว่ากันว่ามักจะมีเต่ามาเดินเล่นให้เห็นอยู่บ่อยๆ แต่เชื่อว่า ใครเผลอไปทัก ดีไม่ดีจะเรียนไม่จบเอาง่ายๆ

                   นอกจากนั้นยังมีศาลพระภูมิประจำสถาบัน หรือที่เรียกกันว่า ศาลพ่อปู่ ที่นักศึกษาใหม่ ทุกรุ่นจะต้องไปเคารพสักการะ เชื่อกันว่า หากนักศึกษาคนใดต้องการที่พึ่งพิงทางใจในเรื่องต่างๆ สามารถมาขอกับพ่อปู่ได้ แต่มีคำเตือนห้อยท้ายว่า "ห้ามบน"

ขอบคุณข้อมูลจาก forum.thaidvd.net

จริงหรือไม่ในสวน'นัน ทักเต่าเเล้วเรียนไม่จบ




เรื่องราวความเชื่อของมหาวิทยาลัยสวนสุนันทา สำหรับใครที่ได้เข้ามาหรือ ค้าหาคำว่าสวนสุนันทา จาก ที่ไหนก็ตามมันใจว่าคงจะได้ยินได้อ่านเสียงร่ำลือ เรื่องเล่าที่ว่า ในสวนสุนันทามีเต่าในสระภา่ยในมหาวิทยาลัยด้วยความเชื่อที่ว่าหากใครที่เข้ามาเรียนเเล้วเผลอทักเต่าในสระอาจจะเรียนไม่จบและสถานที่ที่น่าจะรู้จักกันดีในสวนสุนันทาอีกแห่งคือ "เนินพระนาง" ซึ่งเป็นเนินดินลักษณะคล้ายภูเขา หลายคนบอกว่า เป็นหลุมหลบภัยสมัยสงครามโลก นอกจากนั้นยังมีอีกเนินด้านหลังอาคารคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งจะมีศาลพระภูมิอยู่ เล่ากันต่อมาว่า ใครไปบนที่นั่นต้องเอาผ้าแพรสีแดงกับมะพร้าวติดไปด้วย ส่วนใหญ่ที่นิยมกันคือบนให้เรียนจบให้สอบผ่าน 

ถัดมาที่บึงใหญ่กลางมหาวิทยาลัย มีเรื่องน่าแปลกว่า ใครที่อุตริเล่นพิเรนทร์กระโดดลงไปเล่นน้ำในบึงดังกล่าวจะเรียนไม่จบ แต่ขณะเดียวกัน บึงนี้กลับเป็นบึงที่นักศึกษาหลายคนที่บนบานไว้ขอให้เรียนจบ นิยมมาโดดน้ำแก้บนหลังเรียนจบไปแล้ว 




เฮฮา ผองเพื่อน

         
                  ระยะเวลาการใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
 มีเรื่องราวมากมายที่เป็นที่น่าจดจำ อาจมีเสียใจบ้าง ท้อบ้าง เเต่สิ่งที่คิดว่าจะจดขจำไปตลอดกาลคือ ความเฮฮาที่ได้รับจากการที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ร่วมกัน
               
                  ห้องของเราอาจจะมีคนไม่มาก แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกันเพราะทำให้เราได้เรียนรู้กันเเละกันได้เร็ว ต่างคนต่างพ่อเเม่ ต่างที่มานิสัยใจคอส่วนตัวก็ต่างกันออกไป ทำให้เราต้องปรับตัวให้กับทุกคน
ความสนุกสนานเฮฮาเกิดขึ้นได้ทุกวัน ในห้องจะมีคนที่สร้างความเฮฮาได้ตลอดเวลา ทำให้เราผ่อนคลาย เอ๊ะ! รึว่าปวดหัวกันนะ แต่เค้าก็เป็นสีสันสันได้เป็นอย่างดี


                 สามปีที่ผ่านมาเป็นความทรงจำเเละมีความสุขมากในการเรียนมหาวิทยาลัยเพราะถ้าขาดเพื่อนไป ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตในมหาวิทยลัยได้เเน่นอน ถือได้ว่าเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้เราประสบผลสำเร็จก็ว่าได้
                  อีกไม่กี่เดือนอาจจะได้พบเจอกันน้อยลงเพราะใกล้จะจบกันเเล้ว แต่ยังไง ก็คงต้องมีการนัดพบกันอย่างเเน่นอน





ภาพเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งส่วนน้อยจากทั้งหมดซึ่งไม่สามารถนำมาลงได้แต่ก็คงจะพออธิบายได้ว่าความสนุกสนานในการใช้ชีวิตมีมากน้อยเพียงใด ขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่สร้างสีสันให้กับชีวิต


ประสบการณ์จาก กำแพงเเดง



                ผ่านไปแล้วกับ 'กำแพงเเดง' ที่เด็กวารสารฯ ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นสิ่งที่จะต้องทำให้สำเร็จ ได้ประสบการณ์มากมายที่เก็บเกี่ยวมาได้ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์บุคคลที่จ้องจะจับผิด การต้องตอบโต้กับการต่อต้าน การลงสนามสำรวจพื้นที่ การวางแผน การเขียนข่าว เเละอีกมากมายที่สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ก่อนที่จะไปทำงานจริง ๆ ในอนาคต ถือได้ว่า หนังสือพิมพ์ฝึกปฏิบัติเล่มนี้ ให้ประโยชน์มากมาย ที่สำคัญคือความภาคภูมิใจที่ตนเองได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ของวารสารฯ
ผ่านความลำบากมามากมาย จากเด็กที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านการเขียนข่าวมากนักแต่ก็สารมารถที่จะเขียนเเล้วสื่อออกมาได้ก็ถือว่าประสบผลสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่งถึงเเม้ว่าจะเป้นเพียงหนังสือในมหาวิทยาลัยก้ตาม
                 จากที่เห็นภาพเป็นการเรียนรู้การเขียนข่าวจากอาจารย์ผู้สอนสองท่านที่สละเวลาในวัน เสาร์ - อามทิตย์ เพื่อมาสอนเเละหาข้อบกพร่องในการเขียนข่าว เเละเเนวทางที่ถูกต้องให้ รวมถึงการสอนทุก ๆ อย่างที่สามารถช่วยเราได้
                  ขณะนี้หนังสือพิมพ์ กำเเพงแดงได้ออกเผยแพร่สู่สายตาประชาคม สวนสุนันทาเเล้ว การตอบรับก็ถือว่าประสบผลสำำเร็จพอสมควร มีคนถามถึงมากมาย เเละต้องการที่จะเข้ามาซื้อหนังสือพิมพ์ฝึกปฏิิบัติเล่มนี้
                  มาวันนี้เเม้ กำแพงเเดงจะถูกจ้องมองที่จะเล่นงานจากผู้บริหารระดับสูง โดยตำหนิว่ากำเเพงแดงทำให้มหาวิทยาลัยเสื่อมเสีย แต่ขอขัดค้านอย่างจริงจังว่า การทำข่าวเป็นไปอย่างโปร่งใส เอาความจริงมาเปิดเผยเพื่อให้ได้รับการปรับปรุงเเก้ไขให้เป็นไปตามสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ได้ทำขึ้นมาเพื่อที่จะทำลายสิ่งใด เมื่อเราเห็นโจรเข้ามาในบ้านเราก็ต้องเรียกให้คนอื่นเห็นเเละเข้ามาช่วยจับโจร จริงไหม? หารเราเห็นโจรเเล้วปล่อยไปเฉยๆ เราก็มีเเต่เสีย อย่าปล่อยให้ใครเข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากเงินของเด็กนักศึกษาอีก

ข้องใจ



            วิชาศึกษาทั่วไปเป็น การเรียนในระบบกลุ่มใหญ่ ร่วมกับระบบ E-learning ซึ่งทางมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ได้พัฒนาการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาศึกษาทั่วไปเพื่อเป็นการปฏิรูปให้สอดคล้องกับยุคสมัย แห่งสังคมการเรียนรู้ และโลกแห่งเทคโนโลยี ที่ปัจจุบันมีความก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
            การเรียนในระบบกลุ่มใหญ่ของรายวิชาศึกษาทั่วไปนั้น รูปแบบของการเรียนการสอนประกอบด้วย การเข้าฟังบรรยาย ในกลุ่มใหญ่ วิชาละแปดครั้ง และเรียนรู้ด้วยตนเองจากเอกสารประกอบการเรียน นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมต่างๆที่อาจารย์ผู้สอนมอบหมายให้ รวมถึงกิจกรรมผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อให้นักศึกษาได้ฝึกทักษะในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศร่วมกับการเรียนรู้จากคณาจารย์ ผู้ชำนาญการ ซึ่งในส่วนนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลดีอย่างมากแก่นักศึกษาแต่ ในทางกลับกัน ในเรื่องของการจัดตาราง และเวลาเรียนของนักศึกษาโดยเฉพาะนักศึกษาในภาคปกตินั้น กลับมี ปัญหาตามมาอย่างมากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ  การเลื่อนเวลาเรียนของนักศึกษาภาคปกติไปเป็นเวลา 17.00-20.00 น. การจัดตารางเรียนในวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งวันและเวลาดังกล่าว จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า มันไม่ใช่ วันและเวลาเรียนของนักศึกษาภาคปกติ แต่เป็นวันและเวลาเรียนของนักศึกษาภาคสมทบ  แล้วที่สำคัญมั่นใจหรือว่า การมาเรียนในวันและเวลาดังกล่าวจะทำให้นักศึกษารู้และเข้าใจในเนื้อหาของรายวิชานั้นๆ บางคนเกิดอาการง่วงซึม  เบื่อ หลับบ้างก็มี ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติของคนเราเมื่อ เป็นช่วงเวลาที่ควรจะพักผ่อนแต่กลับต้องมานั่งเรียน จะหลับบ้าง ง่วงบ้าง ก็คงต้องเข้าใจนักศึกษาด้วย

นักศึกษาภาคปกติหลายคนกล่าวถึงเรื่องนี้และได้แสดงความคิดเห็นมากมายว่าวัน และเวลาที่ทางสำนักวิชาการศึกษาทั่วจัดให้มีการเรียนการสอนนั้นนั้นส่งผลกระทบในเรื่องของ การเดินทางในช่วงเวลา หลังเลิกเรียนเนื่องจาก เป็นเวลาที่ดึกเกินไปสำหรับนักศึกษาภาคปกติ ทำให้ครอบครัวเกิดความกังวนและเป็นห่วงนักศึกษาเป็นอย่างมาก รวมอีกทั้งการเดินทางกลับบ้านของนักศึกษาบางคนที่ต้องใช้ระยะเวลานานกว่าปกติ ส่วนด้านของการจัดตารางเรียนในวันเสาร์และอาทิตย์ นักศึกษากล่าวว่า วันดังกล่าวเป็นวันหยุดราชการไม่สมควรที่จะจัดให้นักศึกษาภาคปกติมาเรียนเพราะนักศึกษาหลายๆคนมีภารกิจต่างๆที่จะต้องทำในวันหยุด
ซึ่งปัญหานี้ทางสำนักวิชาการศึกษาทั่วไปได้ให้เหตุผลว่า เนื่องด้วยทางมหาวิทยาลัยรับนักศึกษาเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ห้องเรียนในราย วิชาศึกษาทั่วไปไม่สามารถรองรับนักศึกษาได้เพียงพอ จึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยน  ตารางเรียน ของนักศึกษา ให้มีการเรียนในเวลา17.00-20.00น. และเปิดสอนในวันเสาร์และอาทิตย์  แต่ล่าสุด ทางสำนักวิชาการศึกษาทั่วไปได้ประกาศ ปิดทำการเรียนการสอนในวันอาทิตย์ ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554  ซึ่งคาดการณ์ว่า เป็นผลมาจากการที่ นักศึกษาเข้ามาสอบถามและ ร้องเรียนเรื่องราวต่างๆเนื่องจากวันดังกล่าวตรงกับวันที่ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)จัดให้เป็นวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ซึ่งนักศึกษาที่มีอายุ ตามเกณฑ์เลือกตั้งจะต้องกลับภูมิลำเนาเพื่อที่จะต้องไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง หลายคนอาจจะต้องเลือกที่จะ ไปลงคะแนนเลือกตั้งแทนการมาเรียนซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับการเรียน ในภายหลังก็ตาม   ในเมื่อทราบอยู่แล้วว่าปัญหาคือ สถานที่ในการจัดการเรียนการสอนไม่เพียงพอแล้วเหตุใดจึงรับนักศึกษาเข้ามามากเกินกว่าที่จะสามารถรองรับได้
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดไม่ทราบว่าทางสำนักวิชาการศึกษาทั่วไปได้รับฟังเสียงของนักศึกษาที่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่ เพราะเท่าที่ทราบมาว่า มีนักศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ได้เข้าไปสอบถามถึงเหตุผลของการจัดตารางเรียน ให้นักศึกษาในวันและเวลาที่ได้กล่าวมาแล้ว ทางสำนักวิชาการศึกษาทั่วไปจะมีวิธีการปรับเปลี่ยน  หรือหาวิธีแก้ไขอย่างไรเพื่อที่จะลดปัญหาเหล่านี้ให้น้อยลงซึ่ง ไม่ใช่เพียงแค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น ควรที่จะจัดการให้ปัญหานี้หมดไปโดยเร็ว และขอให้ คิด ไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจด้วย


                                                                ขอบคุณภาพจาก  http://www.kbeautifullife.com

ไปเที่ยว (กาญ) กัน

                 ช่วงเวลาวันหยุดระยะสั้น(มาก ๆ ) ได้มีโอกาสเเวะเวียนไปเที่ยวเมืองกาญฯ เหมือนกับคนอื่นบ้าง เนื่องจากเป็ยจังหวัที่อยากไปมาก ไม่ีโอกาสได้ไป เเละเเล้วเวลาน้นก็มาถึงถึงกับต้องเเบ่งเวลาอันน้อยนิดออกเป็นส่วน ๆ เพื่อที่จะเดินทางไปเที่ยว ดู รางรถไฟ ที่ใครไปเมืองกาญฯ จะต้องถ่ายรูปรางรถไฟกลับมาทุกราย

                ย้อนกลับมาที่การเริ่มต้นเดินทางดีกว่า ทริปนี้เตรียมตัวตอนกลาคืนเดินทางเช้าเป็นทริปที่กระทันหันมากถึงมากที่สุดสาเหตุจากที่เพื่องเพิ่งโทรมาบอก เก็บกระเป๋าใบเล็ก ๆ หนึ่งใบ กับเงินอีกไม่กี่บาทเรียกพี่เเทก ไปลงที่สถานีบางกอกน้อย ใกล้กับโรงพยาบาลศิริราช รอรถไฟฟรีเพื่อประหยัดงบประมาณ ซักพัก รถไฟเป้าหมายก็มาจอดเทียบชานชลาไม่รีรอ รีบวิ่งขึ้นเหมือนเพิ่งเคยขึ้นครั้งเเรกจริงๆ เเล้วกลัวไม่มีที่นั่งมากกว่า ฮ่า ๆ ขึ้นไปซักครู่ เสียงเพลงเริ่มดัง เสียงกีต้าร์เริ่มบรรเลง เอาล่ะทีนี้วงประสานเสียงก็เกิดขึ้นหลางโบกี้หลายคนที่นั่งมาด้วยคงรำคาญไม่มากก็น้อย ผ่านไม่กี่สถานีไม่รู้รู้เเต่ว่า เริ่มมองเห็นสะพานที่ทุกคนต้องมาถ่ายรุปเเล้ว เพื่อนๆ ต่างสะกิดกันใหญ่ให้ลงไปถ่ายรูป ไม่รอช้าทั้งกลุ่มก็ลงมาเพื่อจะถ่ายรูป


            ท่ามกลางเเสงเเดดที่กระหน่ำส่องเเสงราวกับพระอาทิตย์ห่างจากโลกไปไม่กี่กิดลเมตร ร้อนตับแตกเเต่ไม่ยอมถอย มาเมืองกาญฯ ทั้งทีต้องถ่ายสะพานนี้ไปให้ได้ไม่งั้น เหมือนมาไม่ถึงเมืองกาญฯ (คำพูดเก่ามาก) ก็เลยหยุดพักถ่ายรูปไปพักใหญ่






                หลังจากถ่ายรูปก็เดินซื้อของในตลาดข้างมีทั้งเครื่องประดับ ขนมหวาน อหาร ของแปลกมากมายเเต่ที่น่าสนใจเเละเสียวสุด ๆ ก็คือ เสือครับเสือที่นี่มีเสอด้วยเเต่น่าเสียดายที่ถ่ายรูปมาไม่ได้เนื่องจากทางเจ้าของเก็บเงินค่าถ่ายรูปด้วย เรื่องอะไรที่จะต้องเสียเงินไปกับลูกเสีอตัวเดียว ถัดจากการถ่ายภาพกับสะพานไปเเล้วก็นั่งพักกัันนานพอสมควรด้วยอากาศที่ร้อนจัดจึงต้องนั่งพักจนเวลาล่วงเลยจนเกือบ4 โมงเย็น จึงได้ชักชวนกันกลับโดยสภาพเเต่ละคนไม่ไหวเเล้วเพลียจาดการถูกเผ่ามาก ที่สำคัญเพื่อนผู้หญิงที่ไปด้วยเริ่มมีอาการเหมือนจะไม่สบายจึงต้อง รีบกลับ
                 ยังไงก็ตามถึงเเม้จะเป็นเพียงทริงสั้นๆ แต่ก็สนุกสนานมาก เเละจุดที่คิดว่าสนุกสนานมากที่สุดน่าจะเป็นการอยู่ด้วยกันกับเพื่อนในรถไฟเพราะเป็นที่เดียวที่ทุกคนผ่อนคลายไม่ต้องทนกับอากาศร้อนแม้ว่าจะได้แค่ภาพถ่ายสะพานรางรถไฟสำดำทะมึนมาก็ตามก็ถือว่าอย่างน้อยก็ได้ไปพักผ่อนบ้างหลังจากที่ไม่ค่อยมีเวลาได้ออกไปเที่ยวมาหลายเดือน







เลือกเกิดไม่ได้

                จากคำกล่าวที่ใครหลาย ๆ คนก็คุ้นชิน "คนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะเป็นได้" ซึ่งคำกล่าวนี้ทุคนก็คงร้เเละเข้าใจถึงความหมายเป็นอย่างดี 

                เข้าเรื่องเลยดีกว่า ระหว่างเดินทางกลับจากมหาวิทยาลัยได้มีโอกาสเดินผ่าน หนุ่มสาวคู่หนึ่งที่เดินคุยกัน หยอกล้อเล่นกันตามประสาหนุ่มสาวทั่ว ๆ ไปเเต่ในมือของทั้งสองไม่ได้เดินมือเปล่า ทั้งสองกำลังเดินเก็บขยะไปเรื่อย ๆ ในบางมุมก็ดูน่าสงสารที่คนกำลังเป็นหนุ่มเป็นสาวกลับต้องมาเดินเก็บขยะเพื่อหาเงิน เเต่ในบางมุมก็เป็นความน่ารักของทั้งสองที่เข้าอกเข้าใจกันถึงเเม้ว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอายเเละถูกมองว่าสกปรกก็ตาม 

                
                ในระหว่างที่ทั้งสองเดินไปก็ก้มเก็บขวดนมไป 2-3 ขวดทำให้รู้สึกว่า การละเลย มักง่ายของคนในการที่ทิ้งขยะไม่เป็นที่เป็นทางมีส่วนทำให้สภาวะเเวดล้อมหม่นหมองไปทุกวัน เเล้วถ้าขาดคนที่ทำอาชีพเก็บขยะขายไปลองคิดดูซิว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งไม่ควรที่เราจะไปมองว่าการทำอาชีพดังกล่าวเป็นอาชีพที่ไม่น่าคบหา เพราะเชื่อว่า เขาก็คงไม่อยากเกิดมาเป็นเเบบนี้ ไม่อยากเกิดมาต้องเก็บขยะขาย ทุกคนล้วนอยากมีเงินทองมากมาย  เพียงเเต่เราไม่สามารถที่จะเลือกเกิดได้จำต้องยอมรับสภาพของตนเองให้ได้

                ถึงเเม้ว่าคนเราจะเกิดมาจนหรือรวยก็ไม่สามารถวัดได้ว่าใครเป็นคนดีคนเลว คุณค่าของความเป็นคนอยู่ที่จิตใจ สองคนนี้อาจจะไม้ได้เกิดมารวยเเต่อย่างน้อยเขาทั้งสองก็ยัทำมาหากินด้วยอาชีพที่ไม่ต้องเบียดเบียนใคร เเล้วเเลดูเหมือนทั้งสองจะมีความสุขด้วยซ้ำ ตลอดทางที่เดินตามหลังทั้งสองไปก็ยิ้มไปด้วยเป็นภาพที่ประทับใจภาพหนึ่งเลยทีเดียว

วันจันทร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

JR “ สวนนัน” มีทติ้ง สร้างสรรค์ ชวนน้องล่องเรือ


JR “ สวนนัน” มีทติ้ง สร้างสรรค์ ชวนน้องล่องเรือ

     สำหรับการจัดกิจกรรมล่องเรือในครั้งนี้ถือเป็นการรวมตัวกันครั้งแรก  ของอาจารย์ประจำสาขาวิชาเอกวารสารศาสตร์ และ นักศึกษาโปรแกรมนิเทศศาสตร์  เอกวารสารศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา เพื่อเป็นการสร้างความสนิทสนมและผูกสัมพันธไมตรีสร้างความเป็นหนึ่งเดียว ของนักศึกษาเอกเดียวกัน




     ภายใต้โครงการ ตามสายน้ำ ของการจัด มีทติ้ง แบบสร้างสรรค์ในแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศบนเรือเต็มไปด้วยความสนุกสนานรื่นเริง มีทั้งเสียงหัวเราะ เสียงปรบมือ บวกกับเสียงคลื่นกระทบกับเรือ และกิจกรรมต่างๆอีกมากมาย นอกจากนั้น ยังมีการพาน้องๆเข้าไปเยี่ยมชม สถานที่ต่างๆเพื่อเก็บข้อมูลในการเขียน สกู๊ป ข่าวไปด้วยเพื่อที่จะนำเสนอหลังจากการล่องเรือ โดยเริ่มกันที่ วัดเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งวัดแห่งนี้เป็นวัดเก่าแก่ สร้างมายาวนานมากแล้ว นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำละครแนวจักรๆวงศ์ต่างๆมากมาย โดยมีไกด์ ผู้มีความรู้และประสบการณ์ คอยให้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับสถานที่ที่ สำคัญต่างๆตลอดเวลา จากนั้น ก็นำนักศึกษาล่องเรือไปที่เกาะเกร็ด สถานที่ที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และ แหล่งนิยมของนักท่องเที่ยวหลายๆคนคนที่รักในการเยี่ยมชม และชิม อาหารขึ้นชื่อของชาวเกาะเกร็ด อย่าง ทอดมัน หน่อกะลา ขนมจีน  ข้าวแช่ อาหารชาววัง อย่าง แกงมัสมั่น แกงบวน ยำใหญ่เป็นต้นรวมถึง ขนมหวานเช่น ขนมหันตรา ขนมผักกาด จ่ามงกุฎ เป็นต้น รวมทั้งได้ชม ศิลปวัฒนธรรมที่สำคัญของเกาะเกร็ด อย่างเครื่องปั้นดินเผา ที่ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนช่างเครื่องปั้นดินเผาชั้นเลิศมาแต่อดีตที่รู้จักยกย่องโดยทั่วไปว่างดงามเหมาะ แก่ประโยชน์ใช้สอย ทนทาน สมบูรณ์ด้วยคุณภาพ จนกลายเป็นสัญลักษณ์และสินค้าโอทอของจังหวัดนนทบุรี
     หลังจากเยี่ยมชมชุมชนเกาะเกร็ดเรียบร้อยก็ออกเดินทางล่องเรือตามสายน้ำ กลับมายังวัดอรุณ-วรมหาวิหาร โดยระหว่างทางยังได้ฟังบรรยายเกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัตศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทาโดยตรงนั่นคือ เหตุการณ์เรือพระที่นั่ง ของสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทา-กุมารีรัตน พระบรมราชเทวีล่มนั่นเอง





     เสร็จจากวัดอรุณ ฯ แล้ว คณะอาจารย์และนักศึกาเดินทางกลับเข้าสู่มหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อเขียนสกู๊ปข่าวนำเสนอแก่อาจารย์ประจำสาขา ซึ่งถือว่าการล่องเรือ ในชื่อโครงการตามสายน้ำในครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์เป็นอย่างมากได้ทั้งเรียนรู้ และรับความรู้ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับนักศึกษาได้อย่างดีเยี่ยม

จะเล่าอะไรให้ฟัง


ฉันจะเล่าอะไรให้ฟัง

อยู่ ๆ ก็อยากจะเขียนบทความก็เลยคิดชื่อบทความว่า

“ผู้หญิง กลางคืน”

พูดถึงเรื่องของ “เงิน” ทุกคนก็ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า “เงิน” คือ “ พระเจ้า”  ที่สามารถเนรมิต หลายสิ่งหลายอย่างขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะคนจน หรือ คนรวย ต่างไม่เคยที่จะหยุดเสาะแสวงหาเงินเลยและก่อนที่จะได้มาซึ่งของมีค่าที่เรียกว่า เงิน นี้บางคนอาจได้มองอย่างง่ายดายไม่ต้องลงแรงอะไรมาก แต่สำหรับหลาย ๆ คน เน้นย้ำว่า หลาย ๆ คน ต้องดิ้นรนทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ตัวเองได้พบกับพระเจ้าที่เรียกว่าเงิน ต้องอดหลับอดนอนใช้ชีวิตผิดไปจากธรรมชาติจากความจริงที่ว่าหาเช้ากินค่ำ บางคนกลับต้อง หาค่ำกินเช้า นอนในเวลาที่คนอื่นทำงานและทำงานในเวลาที่คนอื่นนอน ส่วนมากจะเป็นอาชีพที่ให้บริการหรือทีหลาย ๆ คน เรียกกันว่า “ทำงานกลางคืน”                       

“งานกลางคืน” มักจะถูกมองว่า เป็นการทำงานที่ผิดศีลธรรม ผู้หญิงกลางคืนที่กล่าวถึงนี้ เธอจะมีเวลาที่จะออกมาทำงานตรงกันเป็นประจำในแต่ละวันเสื้อผ้าหน้าผมของเธอจะต้องรวบผมตึงใส่หมวกสีขาวเธอแต่กายด้วยเสื้อผ้าที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน ทุกอย่างจะต้องพร้อมและดูดีทุกวัน เวลาที่จะเห็นเธอจะต้องเป็นเวลาที่มืดค่ำ หลังจากหกโมงเย็นจะเห็นเธอเดินออกมาจากปากซอยมายืนอยู่ริมถนน
มีหลายครั้งที่มีโอกาส ได้ทักทายเธอเวลาที่เดินผ่านเธอยิ้มให้ด้วยใบหน้าที่บ่งบอกถึงการต้อนรับแขกเป็นอย่างยิ่งหลายครั้งที่คิดในใจว่า อยากจะเข้าไปใช้บริการเธอแต่ก็ได้แค้ยิ้มตอบกลับไป เหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง เคยได้มีโอกาสกลับมาคิดว่าทำไม?เธอถึงมาทำงานแบบนี้ ทำไม? เธอไม่ไปเรียนต่อ ทั้ง ๆ ที่ดูจากใบหน้าแล้วอายุเธอก็ยังน้อย และก็ไม่ได้ ขี้ริ้ว ขี้เหร่ อะไร  หากเรียนจบอาจไม่ต้องมาทำงานนี้ก็ได้ แต่จะว่าไปถ้าเธอเลือกได้ก็คงอยากเรียนให้จบมีงานทำที่ดีกว่านี้ไม่มาทำงานแบบนี้แน่ ๆ ตั้งแต่ได้ย้ายมาอยู่หอพักที่นี้ เกือบจะครบสามปี เธอยังคงทำงานนี้มาตลอด หลายครั้งที่กลับจาก ทำธุระ ดึก ๆ ยังคงเห็นเธอยืนอยู่ริมถนน ตีหนึ่งก็แล้ว ตีสองก็แล้วเธอยังคงยิ้มมีคนแวะเวียนมาคุยกับเธอไม่ขาดสาย แต่ถึง     อย่างไรงานที่เธอทำก็ไม่ได้ไปทำร้ายใคร เธอหาเงินด้วยตัวของเธอเองอาจจะต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก
จะว่าไปเคยคิดหลายครั้งว่าจะลองไปใช้บริการเธอ และแล้วโอกาสก็มาถึง วันนั้นเป็นที่ต้องทำกิจกรรมที่มหาลัยและต้องหลับหอดึก เวลาประมาณตีหนึ่งเห็นจะได้พอลงจากแท็กซี่ ยืนอยู่ข้างถนน ด้วยความเคยชินเราก็ยิ้มให้แล้วตัดสินใจเดินเข้าไปหาเธอแล้วได้พูดคุยกับเธอทักทายเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน ขออะไรเธอ เธอให้ทุกอย่างไม่มีขัดแม้แต่ข้อเดียว เธอให้บริการอย่างเต็มใจด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ซึ่งเมื่อได้ลองครั้งแรกแล้วรู้สึกว่าติดใจ จนต้องกลับมาหาเธออีกหลายๆครั้ง ทุกครั้งที่กลับดึก เป็นต้องแวะไปหาเธอทุกครั้ง ที่สำคัญค่าบริการในแต่ละครั้งก็เป็นราค่าทั่วไปไม่แพงเลย เธอคิดแค่.... ชามละสามสิบบาทเท่านั้นซึ่งเหมือนกับร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไปที่จริงแล้วอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เธอชอบไม่เคยคิดว่าจะต้องเขินอายที่จะทำเป็นอาชีพของคนที่ทำงานกลางคืนที่สุจริตไม่เบียนเบียนใครเธอเอารายได้มาเลี้ยงตัวเองและครอบครัว ถือได้ว่าเธอเป็น “ผู้หญิงกลางคืน” คนหนึ่งที่อย่างน้อยก็สามารถดูแลตัวเองได้
ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ไม่ว่าจะเป็นกลางวัน หรือ กลางคืน ขอแค่เป็นอาชีพที่สุจริตไม่ทำร้ายคนอื่นเพียงเท่านี้ ชีวิตก็ดูมี่คุณค่าขึ้นมาได้

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไฟกลางคืน

            ครั้งนึงเคยได้มีโอกาสได้เดินเล่นยามกลางคืนกับเพื่อนแถว ๆ สะพานพระรามแปด ได้ชมเเสงสีที่สวยงามเป็นที่น่าประทับใจมากซึ่งเป็นช่วงของวันสงกรานต์ หลายคนพากันมาลอยกระทงจุเทียนเล่นไปกันที่นี่  บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายราวกับฝูงมด 


             มองไปที่ผืนน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาเต้มไปด้วยเเสงไป ทั้งจากกระทงเเละเรือกลางลำน้ำที่มีการเเสดงเเสงสีอย่างสวยงามตระการตาเป็นที่ชื่นชอบทั้งคนไทยเเละชาวต่างชาติ ต่างเก้บภาพบรรยากาศสวยงามไว้กันอย่างสนุกสนาน
           นอกจากการเเสดงเเสงกลางเเม่น้ำเจ้าพระยาเเล้วบนบกก็ยังมีการจัเเสงไฟให้สวยงามเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นป้ิอมพระสุเมรุ ถนนพระอาทิตย์ เรือนไทย




             และทางฝังธนบุรีบริเวณใต่สะพานพระรามแปดก็มีเช่นกันจะมีภาพมาฝากด้วย






             นี่เป็นส่วนหนึ่งจากภาพทั้งหมดที่มีความสวยงามมากนับเป็นประเพณีที่ดีงามของไทยพร้อมทั้งเป้นการดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาสนใจในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี  
              เเสงสียามค่ำคืนสามารถทำให้เรารื่นเริงผ่อนคลายไปได้มากเลยทีเดียว